
ในทุกอารยธรรม ความเชื่อเรื่องการเกิด แก่ เจ็บ ตาย และการกลับมาเกิดใหม่นั้นฝังรากลึกอยู่ในจิตวิญญาณของผู้คนมาช้านาน โดยเฉพาะในศาสนาใหญ่ๆ อย่างพุทธศาสนาและฮินดู การเวียนว่ายตายเกิด หรือ สังสารวัฏ

โอกาสที่จะได้เกิดเป็นมนุษย์นั้น เปรียบเหมือนเต่าตาบอดตัวหนึ่งในมหาสมุทร ซึ่งโผล่ขึ้นมาที่ผิวน้ำทุกๆ ร้อยปี และมีแอกไม้ลอยอยู่เพียงชิ้นเดียวในมหาสมุทรนั้น โอกาสที่เต่าจะโผล่หัวขึ้นผ่านรูของแอกไม้นั้นยังง่ายกว่าการได้เกิดเป็นมนุษย์เสียอีก”

ข้าอยู่ในเงามืดของโลกใบนี้มานานเท่าที่โลกมีเงา
ข้าไม่ใช่คน ไม่ใช่ผี ไม่ใช่เทพ ข้าเป็นเพียง “ผู้พาไป”
ทุกครั้งที่มนุษย์คนหนึ่งสิ้นลมหายใจ ข้าจะรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนในกระแสแห่งวิญญาณ ราวกับระลอกน้ำกระทบผิวนิ่ง—เป็นสัญญาณว่ามีวิญญาณหนึ่งพร้อมเดินทาง

เธอเหลือเพียงความทรงจำสุดท้าย…เสียงหัวเราะของคนที่รักเธอ และที่เธอรักมือที่จับมือนั้นครั้งสุดท้าย
และคำขอโทษที่ไม่เคยพูดออกไป
เธอหยุดยืนเบื้องหน้า “ประตูนิรันดร์”
มันไม่ได้ใหญ่โต ไม่อลังการ เป็นเพียงโครงไม้เก่าที่มีแสงอบอุ่นลอดออกมาราวเชิญชวน
ข้างเธอมีวิญญาณหนึ่งยืนอยู่เงียบ ๆ เขาอยู่กับเธอมาตลอดการเดินทาง ไม่เคยพูดมากนัก แต่เธอรู้ว่าเขา “เข้าใจ”

ในช่วงสามวันหลังการตาย วิญญาณจะยังคงวนเวียนอยู่รอบตัวโลกมนุษย์—ไม่ใช่เพราะยังไม่พร้อมจะไป แต่เพราะโลกวิญญาณให้โอกาสสุดท้ายในการมองดูชีวิตที่เราเคยมี ขณะที่ร่างกายกำลังถูกเตรียมสู่เมรุ วิญญาณกำลังกล่าวคำอำลาครั้งสุดท้าย