วัดจันทร์ประดิษฐาราม": จากความศรัทธาสู่มรดกทางธรรมะ
การก่อกำเนิด "วัดจันทร์ประดิษฐาราม": จากความศรัทธาสู่มรดกทางธรรมะ
วัดจันทร์ประดิษฐาราม หรือที่รู้จักกันในนาม "วัดจันปะขาว" ในอดีต เป็นวัดเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 190 ปี ตั้งอยู่ในแขวงบางด้วน เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร เป็นศูนย์รวมจิตใจและมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าที่สะท้อนถึงความศรัทธาอันแรงกล้าของผู้สร้างและวิวัฒนาการของชุมชนในย่านฝั่งธนบุรี
กำเนิดจากศรัทธา: นายจันปะขาว ผู้สร้างวัด
จุดเริ่มต้นของวัดจันทร์ประดิษฐารามมาจาก นายจันปะขาว คหบดีผู้มั่งคั่งและเปี่ยมด้วยศรัทธาในพระพุทธศาสนา ท่านได้สละทรัพย์สินส่วนตัวและที่ดินอันเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเองจำนวนมหาศาล เพื่อสร้างวัดแห่งนี้ขึ้นประมาณ ปีพุทธศักราช 2371 ซึ่งตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ 2) แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ในช่วงปลายรัชสมัยของพระองค์ นายจันปะขาวได้มอบที่ดินทั้งสิ้น 2 โฉนด รวมเนื้อที่ 52 ไร่ 3 งาน 72 ตารางวา ให้เป็นสมบัติของพระพุทธศาสนาเพื่อเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมและเผยแผ่พระธรรมคำสอน
ชื่อเดิมของวัด คือ "วัดจันปะขาว" ซึ่งเป็นนามที่ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้สร้างวัด ด้วยความที่นายจันปะขาวมีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง หลังจากที่ท่านได้ถวายที่ดินและสร้างวัดเสร็จสมบูรณ์ ท่านก็ได้อุปสมบทและนุ่งขาวห่มขาวจำศีลภาวนาอยู่ในวัดแห่งนี้ตลอดชีวิต ด้วยเหตุนี้ ชาวบ้านจึงนิยมเรียกขานนามวัดตามนามของท่าน เพื่อระลึกถึงคุณงามความดีและความเสียสละอันยิ่งใหญ่ของท่าน
การเปลี่ยนแปลงชื่อและการรับรองสถานะ
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ชื่อของวัดจันปะขาวมีการเรียกขานที่หลากหลายและบางครั้งก็เพี้ยนไปจากเดิม เช่น วัดชีปะขาว หรือวัดจันตาปะขาว เพื่อให้เกิดความชัดเจนและเป็นทางการ ทางวัดจึงได้ดำเนินการขอเปลี่ยนชื่อวัด โดยในวันที่ 26 ธันวาคม พุทธศักราช 2501 ได้มีการเสนอเรื่องต่อคณะสงฆ์และได้รับอนุญาตให้เปลี่ยนชื่อวัดเป็น "วัดจันทร์ประดิษฐาราม" ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน ชื่อใหม่นี้ยังคงรักษาเค้าเดิมของ "จัน" ซึ่งหมายถึงผู้สร้าง และเพิ่มคำว่า "ประดิษฐ์" ที่สื่อถึงการสร้างสรรค์หรือการก่อตั้ง และ "อาราม" ที่หมายถึงวัด แสดงถึงการเป็นวัดที่สร้างขึ้นอย่างประณีตงดงาม
การได้รับพระราชทาน วิสุงคามสีมา ถือเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญที่รับรองสถานะความเป็นวัดโดยสมบูรณ์ วิสุงคามสีมาหมายถึงเขตแดนที่พระมหากษัตริย์ทรงยกถวายให้เป็นที่พัทธสีมา สำหรับประกอบสังฆกรรมของพระสงฆ์โดยเฉพาะ ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงถึงความมั่นคงและถูกต้องตามพระวินัยของสงฆ์ วัดจันทร์ประดิษฐารามได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาครั้งแรกเมื่อปี พุทธศักราช 2390 และต่อมาได้มีการถอนวิสุงคามสีมาเดิม เพื่อดำเนินการขอพระราชทานวิสุงคามสีมาใหม่ โดยได้รับพระราชทานอีกครั้งเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พุทธศักราช 2526 มีขนาดพื้นที่วิสุงคามสีมากว้าง 40 เมตร ยาว 80 เมตร การได้รับวิสุงคามสีมาถึงสองครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนาและการปรับปรุงวัดให้สอดคล้องกับยุคสมัยและความจำเป็นในการประกอบศาสนกิจ
สิ่งศักดิ์สิทธิ์และโบราณสถานอันทรงคุณค่า
ภายในวัดจันทร์ประดิษฐารามมีสิ่งก่อสร้างและพระพุทธรูปสำคัญหลายองค์ที่สะท้อนถึงศิลปะและสถาปัตยกรรมในยุคสมัยต่างๆ และเป็นที่เคารพสักการะของพุทธศาสนิกชน:
วิหารหลวงพ่อขาว
เป็นโบราณสถานที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของวัด สร้างขึ้นประมาณ ปีพุทธศักราช 2379 ในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ตัววิหารเป็นอาคารที่เรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยมนต์ขลัง ภายในวิหารแห่งนี้เป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธรูปปางต่างๆ จำนวนมาก ซึ่งเดิมมีไม่น้อยกว่า 140 องค์ ปัจจุบันเหลืออยู่ประมาณ 85 องค์ พระพุทธรูปเหล่านี้สร้างขึ้นด้วยความศรัทธาและแสดงให้เห็นถึงความรุ่งเรืองของพุทธศิลป์ในยุคนั้น แม้จะผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน แต่พระพุทธรูปแต่ละองค์ยังคงรักษาพุทธลักษณะอันงดงามและเป็นที่เคารพสักการะของผู้มาเยือน
หลวงพ่อขาว
พระพุทธรูปองค์สำคัญที่สุดของวัด และเป็นที่มาของชื่อ "หลวงพ่อขาว" ที่ชาวบ้านนิยมเรียกขาน เป็นพระพุทธรูปที่สร้างจาก หินศิลาแลง มีพุทธลักษณะที่งดงามและเป็นเอกลักษณ์ เล่ากันว่า เดิมทีหลวงพ่อขาวประดิษฐานอยู่ที่วิหารร้างของ วัดอังกุลา ซึ่งตั้งอยู่บริเวณระหว่างคลองบางพรหม เขตตลิ่งชัน ในปีพุทธศักราช 2477 สามเณรทวี สมบัติพานิช (ซึ่งต่อมาคือพระครูอุดมธรรมธารี) พร้อมด้วยคณะพระภิกษุและศรัทธาญาติโยม ได้อาราธนาหลวงพ่อขาวมาประดิษฐานที่วัดจันปะขาว (ชื่อเดิมของวัดจันทร์ประดิษฐาราม) ด้วยความเลื่อมใสในพุทธคุณของท่าน นับตั้งแต่หลวงพ่อขาวได้มาประดิษฐานที่วัดจันทร์ประดิษฐาราม ก็ได้กลายเป็นศูนย์รวมจิตใจและเป็นที่เคารพสักการะของพุทธศาสนิกชนทั้งในและนอกพื้นที่ ด้วยความเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์และเมตตาธรรมของหลวงพ่อ
บทบาทของวัดในชุมชน
ตลอดระยะเวลากว่าศตวรรษ วัดจันทร์ประดิษฐารามได้ทำหน้าที่เป็นมากกว่าศาสนสถาน แต่ยังเป็น ศูนย์กลางของชุมชน ในหลายมิติ:
ศูนย์รวมจิตใจ: เป็นสถานที่ที่ผู้คนมารวมตัวกันเพื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ทำบุญ สวดมนต์ และปฏิบัติธรรมในวันสำคัญทางศาสนาต่างๆ รวมถึงการจัดกิจกรรมทางสังคมและวัฒนธรรม
แหล่งศึกษาเรียนรู้: วัดเป็นแหล่งเรียนรู้ธรรมะและเป็นสถานศึกษาสำหรับพระภิกษุสามเณร รวมถึงเป็นแหล่งความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ศิลปะ และสถาปัตยกรรมท้องถิ่น
สถานที่พึ่งพิงทางใจ: ในยามที่ผู้คนประสบปัญหาหรือความทุกข์ใจ วัดเป็นสถานที่ที่ให้ความสงบสุขและเป็นที่พึ่งทางใจแก่ผู้ที่ต้องการ
การอนุรักษ์ประเพณี: วัดมีบทบาทสำคัญในการสืบทอดและอนุรักษ์ประเพณีอันดีงามของพระพุทธศาสนาและวัฒนธรรมไทยให้คงอยู่ต่อไป